กระทรวงแรงงานได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวง รวม 3 ฉบับในเรื่องนี้ เพื่อเลื่อนระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างตามพระราชกฤษฎีกากำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. 2567 ออกไปอีก 1 ปี จากวันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นวันที่ 1 ตุลาคม 2569
เมื่อเลื่อนการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบตาม ร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวแล้วจำเป็นต้องเลื่อนเวลาการใช้บังคับของกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. 2567 และกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างออกจากงานหรือเสียชีวิต พ.ศ. 2567 จากมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2569 เป็นต้นไปให้สอดคล้องกัน
เนื่องด้วยสภาพเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันที่มีความไม่แน่นอนจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น การขึ้นภาษีทางการค้าของสหรัฐอเมริกา การปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตลอดจนสถานการณ์ความตึงเครียดจากความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านซึ่งยังไม่มีข้อยุติที่แน่ชัด ส่งผลให้สถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบต้องปรับตัวและเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้น ซึ่งกระทบต่อลูกจ้างและนายจ้างโดยตรง
ดังนั้น จึงสมควรเลื่อนระยะเวลาการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบดังกล่าวเพื่อคงไว้ซึ่งการจ้าง บรรเทาและลดภาระทางการเงินของนายจ้างและลูกจ้างจากภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี อัตราเงินสะสมและเงินสมทบที่จะเก็บจากลูกจ้างและนายจ้างยังคงเดิม คือ ในระยะ 5 ปีแรก (1 ตุลาคม 2569 – 30 กันยายน 2574) ลูกจ้างและนายจ้าง (แต่ละฝ่าย) ต้องนำส่งเข้ากองทุนฯ ในอัตราร้อยละ 0.25 ของค่าจ้าง และตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2574 เป็นต้นไป ลูกจ้างและนายจ้าง (แต่ละฝ่าย) ต้องนำส่งเข้ากองทุนฯ ในอัตราร้อยละ 0.5 ของค่าจ้าง ในขณะเดียวกันหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ในการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบดังกล่าวก็ยังคงเดิมด้วย